บทความที่ควรอ่านก่อน
จม.เปิดผนึกถึง แกนนำ พธม. และ มวลชนคนเสื้อเหลือง
สวัสดีฮ้าบบบ....สหาย “เสื้อเหลือง” ทุกท่าน .... ขอแสดงความยินดีกับ ยุทธศาสตร์ “โหวตโน” เพื่อเช็คยอด ประชาชนที่ต้องการ “ปฏิรูปการเมือง” และ “ต่อต้านคอรัปชั่น” ซึ่งมีจำนวน สูงถึง 1.4 ล้านเสียง ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมากพอที่จะเคลื่อนไหว ให้เกิดการ “ปฏิรูป การเมือง” ที่เหมาะสม และ เป็นประโยชน์ ต่อ ประเทศชาติ และ ประชาชน ทุกคน ทั้งนี้เมื่อผลการเลือกตั้งได้ออกมาแล้ว คงต้องขอให้ ทาง แกนนำ พธม. และ คนเสื้อเหลือง ทุกท่าน ได้ย้อนกลับมาพิจารณา เรื่อง การใช้คำศัพท์ ให้เหมาะสม(ไม่ใช่ถูกต้องเพียงอย่างเดียว) เพื่อเปิดทางให้ประเทศชาติได้เดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง
ทั้งนี้เพราะ การใช้คำต่างๆ มาขยายความพฤติกรรม ของ “นักการเมือง” เช่น “นักการเมืองชั่ว”, “นักการเมืองเลว”, “นักการเมืองขายชาติ” ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักภาษา และเมื่อรวมถึงการมีมุมมองว่า นักการเมืองเลวทุกคน แล้ว ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม (ถูกต้องตามหลักภาษา แต่ ไม่เหมาะสม) เพราะจะเป็นการปิดอนาคตการเมืองไทย หากไม่แก้ไขแล้ว ต่อไปภายภาคหน้า จะมี “คนดี” ที่ไหนจะกล้าอาสามาทำงาน “การเมือง”....เพราะเมื่อ “คนดี” เพียงแค่ประกาศตัวอาสามาทำงาน การเมือง ก็ต้องกลายสภาพเป็น “คนชั่ว คนเลว” เสียแล้ว ดังนั้น “คนดี” จึงไม่อยากอาสาตัวมาทำงานการเมือง กลายเป็นว่า มีแต่“คนไม่ดี” เท่านั้นที่ขันอาสาเข้าสภา มาแก้ไขปัญหาให้ประเทศชาติ เป็นเช่นนี้แล้ว รัฐสภาไทยก็จะมีแต่ ”คนไม่ดี” และ ไร้ซึ่ง “คนดี” เข้ามาทำงาน เช่นนั้นแล้วประเทศชาติจะเจริญได้อย่างไรกัน?? มีแต่ต้องทนให้ “คนไม่ดี” เข้ารัฐสภามา ได้อำนาจไปใช้ เพื่อ “โกงกิน” และ “เอื้อประโยขน์ให้พวกพ้อง” ทำให้เสี่ยงกับการสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน
ดังนั้นแล้ว จึงขอเสนอต่อ เหล่าสหาย พธม. ว่า พวกท่านควร เพิ่มคำว่า “นักโกงเมือง” มาใช้คู่กับ คำว่า“นักการเมือง” โดยวางคำนิยามไว้ว่า
“นักการเมือง” คือ “คนดี” ที่ขันอาสามาทำงาน “การเมือง” เพื่อประโยชน์ของ ประเทศชาติ และ ประชาชนทุกคน อย่างแท้จริง
“นักโกงเมือง” คือ “คนไม่ดี” ที่สวม “หน้ากาก” หรือ “หัวโขน” สมอ้างตนเองว่าเป็น นักการเมือง หวังใช้อำนาจ อธิปไตย ของประชาชน เพื่อประโยชน์ ของตัวเอง และ พวกพ้อง
ดูก๊อน...ดูก่อน....ท่านผู้เจริญ เหล่าสหายเสื้อเหลือง ทุกท่าน.... แม้นท่านพิจารณา “นิยาม” นี้อย่างถี่ถ้วน ดีแล้วท่านย่อมมองเห็น “ศัตรูที่แท้จริง” ของท่าน, “ศัตรูที่แท้จริง” ของประเทศไทย
“ศัตรูที่แท้จริง” ของท่าน และ ประเทศไทย ย่อมไม่ใช่ “นักการเมือง”ในสังกัด พรรคเพื่อไทย
“ศัตรูที่แท้จริง” ของท่าน และ ประเทศไทย ย่อมไม่ใช่ “มวลชนเสื้อแดง” ผู้สนับสนุน พรรคเพื่อไทย
หากแต่ “ศัตรูที่แท้จริง” คือ “นักโกงเมือง” ที่แฝงเร้น อยู่ใน พรรคเพื่อไทย
ดูก๊อน...ดูก่อน....ท่านผู้เจริญ
ศัตรูที่แท้จริง” ของท่าน และ ประเทศไทย ย่อมไม่ใช่ “นักการเมือง”ในสังกัด พรรคประชาธิปัตย์
“ศัตรูที่แท้จริง” ของท่าน และ ประเทศไทย ย่อมไม่ใช่ “มวลชนแม่ยก” ผู้สนับสนุน พรรคประชาธิปัตย์
หากแต่ “ศัตรูที่แท้จริง” คือ “นักโกงเมือง” ที่แฝงเร้น อยู่ใน พรรคประชาธิปัตย์
ดูก๊อน...ดูก่อน....ท่านผู้เจริญ
ศัตรูที่แท้จริง” ของท่าน และ ประเทศไทย ย่อมไม่ใช่ “นักการเมือง” ผู้ได้รับสิทธิเข้าทำงานใน “รัฐสภา”
“ศัตรูที่แท้จริง” ของท่าน และ ประเทศไทย ย่อมไม่ใช่ “ประชาชนชาวไทย” ผู้ที่เลือก “นักการเมือง” เหล่านั้น
หากแต่ “ศัตรูที่แท้จริง” คือ “นักโกงเมือง” ที่แฝงเร้น อยู่ใน “รัฐสภา”
ดูก๊อน...ดูก่อน....ท่านผู้เจริญ เหล่าสหาย พธม. ทุกท่าน.... แม้นท่านพิจารณา “นิยาม” นี้อย่างถี่ถ้วน ดีแล้วท่านย่อมมองเห็น “ความแตกต่าง” ระหว่าง “นักการเมือง” และ “นักโกงเมือง” นั้นคือ นักโกงเมือง นั้นต้อง ใส่หน้ากาก หรือ หัวโขน ในขณะที่ นักการเมืองไม่ต้อง.....สิ่งนี้นั้นย่อม นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติได้โดย
1. การสร้างสภาวะ ที่ นักการเมือง อยู่ได้ แต่ นักโกงเมือง อยู่ยากจนถึงกระทั่งอยู่ไม่ได้เลย
2. ใช้พื้นฐานของคำว่า “หน้าที่” และ “บทบาท” มาควบคุม “นักโกงเมือง” ได้ในระดับหนึ่ง เพราะ “นักโกงเมือง”นั้นย่อมต้องพยายาม สวม “บทบาท” ให้เหมือน “นักการเมือง” แล้วค่อยรอจังหวะ “โกง”เมื่อมีโอกาสซึ่งขอเรียก วิธีนี้ว่า “คาถานินจา หน้ากากพันธนาการ”(เพื่อความเท่ในอารมณ์น่ะ...แฮ่ๆ)...(เอ่อ ถ้าอยากอนุรักษ์ วัฒนธรรมไทย เปลี่ยนเป็น “ไสยเวทย์ หัวโขนผนึกมาร” ก็ได้นะจ๊ะ...แหะๆ J )
อัน “คาถานินจา หน้ากากพันธนาการ” นี้วิธีใช้โดยพื้นฐานก็เพียงแค่ ใช้ พุทธสุภาษิต “อัตตานัง อุปมัง กเร” (คุ้นๆไหมฮับ?หมอโหวงเหวง) ซึ่งแปลได้ว่า “เอาใจเขามาใส่ใจตน” 2ครั้ง หรืออธิบายได้ว่าให้ท่านคิด 2ครั้ง 2แบบ คือ 1.แบบนักการเมือง 2.แบบนักโกงเมือง แล้วพิจารณา ดำเนินการเป็น กรณีๆ ไป เช่น กรณี “สหายเข้ม” หรือ “หมอโหวงเหวง” ที่กล่าวถึงใน จม.เปิดผนึก ถึง 22แกนนำ นปช.ฯ นั้น ขอเรียนเชิญให้ ท่านผู้เจริญ ทั้งหลาย ได้โปรดลองคิด 2ครั้ง 2แบบ ....ดูเถิดว่าเมื่อ”สหายเข้ม”อ่านแล้วจะคิดอย่างไร??
1.ถ้า “สหายเข้ม” เป็น “นักการเมือง” เค้าจะ รู้สึกอย่างไร??? และ จะตอบสนองอย่างไร??? จะทำอะไรเพื่อประเทศชาติต่อไป อย่างไร ???? (จะเป็น กลศึก “ม้าโทรจัน” หรือป่าว?)
2.ถ้า “หมอโหวงเหวง” เป็น “นักโกงเมือง” เค้าจะรู้สึกอย่างไร??? และ จะตอบสนองอย่างไร???จะทำอะไรเพื่อตัวเอง และ พวกพ้อง ต่อไป อย่างไร???? และ จะต้องทำยังไง เพื่อรักษา “หน้ากาก” ไม่ให้หลุด ไม่ให้สังคมรู้ตัวจริง?? แล้ว ถ้า สมมุติว่า มี “กลุ่มทุนการเมือง ที่จ้องงาบประเทศไทย” อยู่จริง “หมอโหวงเหวง” จะเอาตัวรอด จากความระแวงของ กลุ่มทุนนี้ ได้อย่างไร???
ดูก๊อน...ดูก่อน...ท่านผู้เจริญ เหล่าสหาย พธม. ทุกท่าน....อันการทำศึกเพื่อต่อต้าน “การทุจริต และ ประพฤติมิชอบ” นั้นย่อมเป็น “ศึกยืดเยื้อ ที่ไม่มีวันจบสิ้น” ไฉนจึงเป็นเช่นนั้น สหายเอ๋ย ท่านลองตรองดูเถิด ว่าเหตุใด มนุษย์ จึงมีความประพฤติที่เรียกได้ว่า “ทุจริต” “ฉ้อโกง” นั่นเพราะ มนุษย์ “พ่ายแพ้” ต่อความ “โลภ” ในจิตใจใช่หรือไม่??? ดังนั้นแล้ว การทำศึกต่อต้าน “การทุจริต และ ประพฤติมิชอบ” นั้นจึงไม่ควรทุ่มเท พลังกำลัง เพื่อที่จะโค่นล้มใครคนหนึ่ง หรือ ตระกูลใด, ตระกูลหนึ่ง เพราะถึงจะล้มได้ แต่ก็ย่อมจะมี “นักโกงเมือง” รายอื่นเข้ามาเสียบแทนที่อยู่เสมอ เรื่องนี้ ทุกท่านคงได้ประจักษ์ชัดแล้ว
ดูก๊อน...ดูก่อน...ท่านผู้เจริญ เหล่าสหาย พธม. ทุกท่าน....พึงได้พิจารณาดูเถิดว่า “นักโกงเมือง” นั้นต้องการให้ สภาวะแวดล้อม และ กฎกติกา ทางการเมือง เป็นเช่นไร??? ใช่หรือไม่ ที่ “นักโกงเมือง” นั้นจะปรารถนา “อำนาจเบ็ดเสร็จ” ที่ไร้การตรวจสอบ เช่น “ระบบเผด็จการ ทหาร” หรือ “ระบบเผด็จการ รัฐสภา” จะได้สบายไม่ต้องพะวง กลัวหน้ากาก จะหลุด!!! ใช่หรือไม่ ที่ “นักโกงเมือง” นั้นจะปรารถนา ให้ประชาชนถือครอง “อำนาจอธิปไตย” ไว้ในมือด้วยเวลาสั้นที่สุด เฉพาะก่อนช่วงเลือกตั้งเท่านั้น หลังเลือกตั้งแล้ว “อำนาจอธิปไตย” จะได้ตกไปอยู่กับ “นักโกงเมือง” ที่ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง
ดูก๊อน...ดูก่อน...ท่านผู้เจริญ เหล่าสหาย พธม. ทุกท่าน....ได้โปรดลองคิดถึง รูปแบบของ ประชาธิปไตย ในห้องเรียนที่มี นักเรียน 60 คน กับ ในประเทศที่มีประชากร 60 ล้านคนดูว่า มีอะไรที่แตกต่างกันบ้าง????? ถ้ามีแค่ 60 คน ก็ไม่จำเป็น ต้องมี ผู้แทนราษฎร จริงไหม? ขอเรียกประชาธิปไตย ในห้องเรียน ว่าเป็น "ประชาธิปไตย ทางตรง" ล่ะกัน แบบนี้ มีเรื่องอะไร ก็นำเข้ามาคุย มาโหวต กันโดยตรง ไม่ต้องใช้ ผู้แทนฯ....ที่ผ่านมา....สส....ก็คล้าย พ่อค้าคนกลาง ...... ที่ไล่รวบรวม "อำนาจ" ของประชาชนมา....แล้วไปต่อรองกันในสภา....ที่เป็นเช่นนี้เพราะ สังคม ขนาดใหญ่ ย่อมจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสาร แค่ 600 คนมาคุยหาข้อสรุปกันยังลำบากเลย.....ดังนั้นแล้วนี้จึงเป็นช่องให้ “นักโกงเมือง” แทรกตัวเข้ามาในสภาได้และอยู่อย่างสบายไปอีก สี่ปี แต่ทุกวันนี้...เทคโนโลยีก้าวหน้าแล้ว....จึงมีความเป็นไปได้ที่จะใช้เทคโนโลยี SMS เพื่อสร้าง "ประชาธิปไตย ทางตรง" ให้กับ สังคมขนาดใหญ่ ระดับประเทศ...เริ่มต้นอย่างง่ายๆโดยการนำอำนาจ “ยุบสภา”และ/หรือ “ไล่ออก” มามอบให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจโดยตรง ในทุกๆเดือน นี่ย่อมเป็นสภาวะที่ไม่พึงประสงค์ของ “นักโกงเมือง” เป็นแน่แท้
ดังนั้นแล้ว การพัฒนาเทคนิคการสื่อสารทางการเมือง เพื่อให้เกิด “ประชาธิปไตย ทางตรง” ให้มากขึ้นเรื่อยๆ ย่อมเป็นการสร้าง “สภาวะ” ที่ “นักโกงเมืองทุกสังกัดพรรค” ไม่ชอบ และ โกงได้ยากขึ้น จริงหรือไม่??
ดูก๊อน...ดูก่อน...ท่านผู้เจริญ สหาย “อาแปะ แป๊ะลิ้ม” สนธิ ลิ้มทองกุล ท่านได้โปรดทบทวนแนวคิด “การเมืองใหม่” ที่ท่านเสนอให้ “เลือกตั้ง 30 แต่งตั้ง70” ถ้าทำเช่นที่ท่านเสนอย่อมเป็นการ ลดอำนาจต่อรองของประชาชนทั้งประเทศจากที่เคยเลือกตั้งได้เต็ม100 คงยากที่จะหาผู้สนับสนุนแนวคิดนี้.....แทนที่จะลดอำนาจต่อรองของประชาชนลง เปลี่ยนเป็น เพิ่มอำนาจต่อรองของประชาชนให้สูงขึ้นน่าจะดีกว่า....ท่านคิดเห็นประการใดเล่า??? ถ้าท่านเห็นด้วย คงต้องขอรบกวนท่าน ให้ช่วยยื่นข้อเสนอนี้ ต่อ “สภาร่างรัฐธรรมนูญ”
นายกรัฐมนตรีไม่มีอำนาจ “ยุบสภา” และ “ลาออก”
อำนาจ “ยุบสภา” และ/หรือ “ไล่ออก” เป็นของประชาชน
รัฐต้องอำนวยความสะดวกให้ ประชาชนใช้ อำนาจนี้ผ่านระบบ SMS ได้อย่างเป็นประชาธิปไตย
การแก้ไขข้อความตอนใด ตอนหนึ่ง หรือทั้งหมด ของรัฐธรรมนูญ ต้องผ่านกระบวนการประชาพิจารณ์ และต้องใช้ “ประชามติ” รับรองการแก้ไข ทุกครั้ง
และนอกจากนี้แล้ว ท่านควรใช้ นสพ.ผู้จัดการ และ เอเอสทีวี ให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ด้วยการนำร่องพัฒนาเทคนิค “การทำประชาพิจารณ์ปลายปิด ผ่าน SMS” โดยใช้แทนการชุมนุมแบบเดิมๆ ที่ต้องระดมพลมาปิดถนน ยึดโน่น, ยึดนี่ ให้ชาวบ้านเค้าต้อง เดือดร้อน วุ่นวาย (ถึงจะน่าช้ำใจ แต่ท่านก็ควรยอมรับความจริงว่า สุดท้ายมันก็ไม่ผล แต่อย่าเพิ่งหมดกำลังใจ ความผิดพลาดย่อมเป็นบทเรียนไปสู่ความสำเร็จเสมอ) หันมาใช้ SMS ในการรวบรวมความคิดเห็น หรือ ลงมติ จาก พธม. ที่กระจายตัวกันอยู่ ทั่วประเทศจะดีกว่า ถึงแม้จะทำได้แค่ระดับ “one sim one vote” ไม่ใช่ “one man one vote” ก็เถอะ เพราะ การทำซิมโทรฯมือถือประชาธิปไตยนั้น ต้องเป็นระดับ “รัฐ” ถึงจะมีอำนาจและกำลังมากพอที่จะทำได้ แต่ถ้าหาก นสพ.ผู้จัดการ เริ่มทำ จะเป็นการ เหนี่ยวนำ ให้ นสพ.ฉบับอื่นและ รัฐบาล ต้องทำตาม “นักโกงเมือง” นั้นย่อมรังเกียจ กระบวนการ “ประชาพิจารณ์” อยากจะหลีกเลี่ยง อยากจะล้มล้าง ชนะเลือกตั้งมาทั้งที แทนที่จะได้โกงอย่างสะดวกๆ หน่อยต้องมาติดกับ กระบวนการ “ประชาพิจารณ์” เป็นมารขวางคอหอยของ “นักโกงเมือง” โดยแท้ ดังนั้นการพัฒนาระบบอำนวยความสะดวกในการทำ “ประชาพิจารณ์” ย่อมเป็น “การทำศึกต่อต้าน คอรัปชั่น” อีกประการหนึ่ง
SMS 1ข้อความนั้น ใช้ส่ง อักษรภาษาอังกฤษได้ถึง 150 ตัวอักษร ลองคิดรูปแบบคร่าวๆดูจะได้ว่า สามารถตั้งคำถามปลายปิดได้ 50ข้อ โดยแต่ละคำถามมีตัวเลือกตอบได้ถึง 24 ข้อ(a-z) แล้วก็นะ สหาย “อาแปะแป๊ะลิ้ม” การที่มีข่าวปล่อยออกมาโจมตีท่านว่า แอบบินไปเจรจากับ “ทักษิณ” แล้วท่านออกมาปฏิเสธข่าวนั้น “คำปฏิเสธ”ของท่านย่อมไม่น่าเชื่อถือ หากท่านหยุดการทำงานที่ท่านเสนอตัวอาสาเข้ามาทำ หากท่านหยุดการเป็น “ยามเฝ้าแผ่นดิน” หรือ แกล้งทำอย่างไม่มีประสิทธิภาพไม่ตรงเป้า ไม่ตรงประเด็น..... “เฮ้ย!! ไอ้ตี๋บัดซบนี่ ลื้อ กำลังคิดจะใช้ “คาถานินจา หน้ากากพันธนาการ” กับอั๊วะคนนี้งั้นเหรอ???”....ถ้าท่านกำลังคิดจะถามผมเช่นนั้นนะ สหาย “อาแปะแป๊ะลิ้ม” ผมก็ขอตอบไว้ตรงนี้ว่า “มันก็ขึ้นอยู่กับว่า ใจจริงลื้อเป็นอะไร เป็นยามเฝ้าแผ่นดินเพื่อประเทศชาติจริงๆ หรือแค่อ้างว่า “เพื่อชาติ” แล้วเคลื่อนไหวล้ม ทักษิณ เพื่อชำระแค้นส่วนตัว”
“ใส่หน้ากากอยู่รึเปล่าล่ะจ๊ะ??? ถ้าใส่อยู่ ก็โดน “คาถาฯ” เข้าให้แล้วล่ะนะ” พอจะเก็ท มุก “คาถาฯ” ขึ้นมั่งไหมเอ่ย???
เรื่อง “นิรโทษกรรม” ไม่ต้องห่วง เดี๋ยว ผมร่าง จดหมายเปิดผนึก ชี้แจง คอป. ให้เอง “ผู้ผิด ที่เป็นสาเหตุ” คือ “ความล้าสมัย” ของระบบสื่อสารการเมือง เพราะฉะนั้น เราต้อง “แก้ไข ไม่แก้แค้น” เพราะไม่รู้จะแก้แค้นกะ “ความล้าสมัย” มันยังไงดี จะจับมันมาเฆี่ยน มาตี มันก็ดันไม่ชีวิตไม่มีความรู้สึก ตีไปก็เหนื่อย เสียแรงเปล่า มีแต่ต้อง แก้ไข ให้มันทันสมัยขึ้น ตอบสนองต่อ สภาวะโลกที่เปลี่ยนไปได้มากขึ้น เฮ้ออออ....ก็นะ SMS เอามาใช้โหวต “นางงาม” โหวต “เกมโชว์” กันได้ ทำไมจะเอามาโหวต “ยุบสภา”, “ไล่ออก” นายกฯ,รัฐมนตรี,รัฐบาล กันบ้างไม่ได้หรือไร ดีกว่าปล่อยให้ประชาชนต้องลำบาก ลำบน ลากสังขารออกมาประท้วงกันตามท้องถนน ข้อเสียของการประท้วงแบบเดิม ก็คือ ไม่สามารถระบุ จำนวนผู้สนับสนุนได้อย่างชัดเจน เลยอ้างว่า เป็น ประชาธิปไตยได้ไม่เต็มปาก แก้ไขซะให้มันดีก็สิ้นเรื่อง แน่นอนว่า ต้องเว้น “ทักษิณ ชินวัตร” ไว้ก่อน....ประเด็นอ่อนไหว.... พันธมิตรฯคงไม่ยอมอยู่เฉยแน่....ได้แต่ขอร้องว่าใช้ SMS เถอะ อย่าออกมายึดโน่น ยึดนี่อีกเลย....
โอ้....สหาย พธม.ทั้ง 1.4 ล้าน ท่านจงอย่าได้ท้อถอยเลย เพราะพวกท่านแต่ละคนเป็นเสมือน “หัวหมู่ทะลวงฟัน” ในการทำศึกต่อต้าน “คอรัปชั่น” ขอเพียงแต่ท่าน ทบทวน กลยุทธ์การทำศึก ที่ไม่ต้อง ปิดถนน แลบุกยึดสถานที่ต่างๆ แล้วไซร้ย่อมจักมีแนวร่วม มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่มีประชาชนคนใดหรอกที่ชื่นชอบให้ตัวเค้าเอง ถูกโกง ถูกทรยศ หักหลัง เพียงแต่ในทุกวันนี้ ประชาชน มีสิทธิทำได้แค่ “เลือกตั้ง 4ปีครั้งเท่านั้น” ทุกวันนี้ ยังไม่เกิด “ประชาธิปไตย ทางตรง” ทุกวันนี้ยังเป็น ประชาธิปไตยที่อาศัยระบบผู้แทนแบบผูกขาด(ไม่สิทธิไล่ออก แบบสะดวกๆ) ทุกวันนี้ ประชาธิปไตยไทยยังเป็น “ประชาธิปไตย แบบอำมาตย์ เพื่อนายทาส” (ให้มาแต่สิทธิเลือกตั้งไม่ให้สิทธิไล่ออก “ทาสเลือกนาย”ชัดๆ) ดังนั้นแล้ว คงต้องขอร้องให้พวกท่าน พัฒนา “ประชาธิปไตยทางตรง” ขึ้นใช้ในกลุ่มของพวกท่าน เพื่อเป็นแบบอย่าง ให้แก่ประชาชนทั้งประเทศเถิด อาจจะจัดการเลือกตั้ง “คณะมนตรีบริหาร” ผ่านระบบ SMS ขึ้นมาเลียนแบบ “คณะรัฐมนตรี” แล้วก็ “ไล่ออก” ผ่าน SMS ได้ (ชุดแรกที่ได้เป็นก็ “ซวย” หน่อย เพราะสมาชิกคงอยากลองใช้สิทธิ “ไล่ออก” ก็ไม่เคยมีใช้นี่นะ) ก็ลองเลือกๆ ไล่ๆ ไปซักพักเป็นการแสดงตัวอย่างให้ ประชาชนทั้งประเทศได้เห็นแนวโน้ม การนำระบบ SMS มาใช้งานการเมือง เป็นประหนึ่ง การสร้าง “หนังตัวอย่าง” ให้ประชาชนได้ชม และ วิพากย์ วิจารณ์ วิธีนี้ “ไม่ต้องใช้ความรุนแรงใดๆ” ยุคนี้ ยุคดิจิตอล แล้ว พอกันที กับ “ม๊อบ อนาล็อก” เสื้อสีอื่น จะยังใช้วิธี “เชยๆ” ปิดถนนประท้วง ก็ช่างเค้าเถิด เค้าอาจจะส่ง SMS กันไม่เป็นน่ะ....แต่ พธม.ทุกท่าน ฉลาด หัวไว เรียนรู้เร็ว ใช้งาน SMS กันได้อยู่แล้ว ยกระดับเป็น “ม๊อบ ดิจิตอล”ดีกว่า สบายกว่า เมื่อชาวบ้านไม่เดือดร้อน เค้าจะพากัน “สรรเสริญ” และเข้าร่วมกับ พวกท่าน
และสุดท้าย...ขอเรียกร้องให้ พธม. จัด “พิธีขอขมาเดรัจฉาน” ซะเพราะในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง พวกท่านทำไม่ถูกที่นำ สัตว์เดรัจฉาน หลากหลายสายพันธุ์ ไปเปรียบเทียบกับ “นักโกงเมือง” ผู้มีอนาคตที่จะต้องเป็น “สัตว์นรก” เมื่อสิ้นสุด ชาติภพนี้ไปแล้ว....การทำเช่นนี้ ย่อมถือเป็น “การดูหมิ่น สัตว์เดรัจฉาน อย่างรุนแรง”.... น้องหมา น้องลิง พี่ควาย พี่เสือ พี่เข้ ท่านตะกวด.... ทำอะไรผิดหนักหนาถึงกับเอาพวกเค้าไปเทียบกับ “สัตว์นรกนักโกงเมือง” ?????....ทำผิดเป็นเรื่องธรรมดา คนเราเกิดมาก็ มีผิด มีพลาด กันทุกคนแหละ ผิดแล้วขอโทษ ย่อมเป็น วิญญูชน...นะฮ้าบบบบ...แม้จะดูว่าเป็น “พิธีกรรม”ที่บ้าๆ บอๆ แต่ความบ้าๆบอๆ นี้นั้นมันง่ายต่อการ “เป็นข่าว” (พธม.เพี้ยนแล้วว่ะ..ทำอะไรกันวะ??) เมื่อ “เป็นข่าว” ย่อมเป็นโอกาสดี ที่ พธม.จะประกาศ “ยุทธวิธีใหม่” ต่อคนทั้งประเทศ...นะฮ้าบบบบ.....
ธ.ไททัน
Tor_Titan@hotmail.com
โปรดติดตามตอนต่อไป.....
จดหมายเปิดผนึก ถึง มวลชน แม่ยกประชาธิปัตย์
*หมายเหตุ: อย่าไปเชื่อมันมากนักน๊า....ไอ้นาย ธ.ไททัน เนี่ย....มันเคลื่อนไหวเพราะมี “ผลประโยชน์ทับซ้อน” มันอยากดัง มันจะเอาความดัง ไปหากิน ด้วยการเขียนนิยายขายน๊า.... “อย่าเชื่อ” มันมากนัก... “อ้าว!!! ไม่ให้ เชื่อ แล้วลื้อจะเขียนมาทำซากอะไรฟร๊ะ???”.....อุ๊ย ก็แหมก็ เขียนมาให้ “คิด” นะสิ .... “คิด”แล้วท่านจะ “เห็นด้วย” หรือ “เห็นต่าง” ในจุดไหน? อย่างไรบ้าง? ก็เป็นเรื่องของแต่ละท่าน ... “เชื่อ” หรือ “ไม่เชื่อ” มันไม่สำคัญหรอก สำคัญว่า ท่าน “คิด” หรือไม่ต่างหาก ถ้าท่านไม่ “คิด” ปล่อยให้ผม “คิด” อยู่คนเดียว ผมก็ หัวบวมตายอ่ะดิ่....